ก่อนดู The White Tiger นุ่นไปส่องในทวิต ก็มีคนแอบบอกว่า มีความ Pasasite เวอร์ชั่นอินเดียเหมือนกัน แต่ “แสบสัน” กว่ามาก และเห็นความเหลื่อมล้ำของ 2 ชนชั้นแบบโคตร Full HD จุกไปหลายดอกหลายซีน !!

หนังเล่าถึงพลราม ที่เกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก พ่อขับสามล้อ เรียนดีก็ต้องออกจากโรงเรียนมาทำงานทุบถ่านในร้านชา

พอโตขึ้น…เขาก็เริ่มเหมือนพวกเราหลาย ๆ คน ที่ต้องหาทาง “ดิ้นรน” ให้พ้นจากสภาพที่เป็นอยู่นี้ หลังจากได้ยินว่า “มิสเตอร์อโศก” ลูกชายคนรวยที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของคนในหมู่บ้านกำลังต้องการคนขับรถ พลรามก็ขอเงินย่าจอมตืด (ขี้เหนียว) ไปเรียนขับรถ แล้วสัญญาว่าจะส่งเงินให้ย่า เป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในหมู่บ้านไปเล้ยย !!

จากนั้นก็ดำเนินเรื่องคล้าย ๆ Parasite ค่ะ พลรามเริ่มตะกายดาวไปสมัครงานเป็นคนขับรถได้ และเริ่มแผนไต่เต้าหวังเป็นคนใช้นัมเบอร์วัน (เหยียบหัวคนอื่นขึ้นไป) โดยระหว่างนั้นก็ถูกกระทำต่าง ๆ นานาที่โดนแล้วโคตรรู้สึก “โดนเหยียด” พอโดนมากเข้า ฟางชักเริ่มใกล้ขาดแล้วสิ!

ในที่สุดก็ถึงจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ เปลี่ยนจากไก่อ่อนเป็น “พยัคฆ์ขาว (White Tiger)” ความดำมืดเริ่มครอบคลุมจิตใจเขา ด้วยความคิดว่า มีเพียง 2 อย่างที่เปลี่ยนคนจนให้เป็นคนรวยได้ คือ การเมือง และอาชญากรรม

หลังจากโดนกระทำจนไฟแค้นสุมอก พลรามก็ตัดสินใจทำบางอย่างที่เปลี่ยนชีวิตเขาจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ส่วนจะทำอะไรนั้น ไปชมกันเอาเองจ้าาา No spoiled!

แม้จะเป็นหนังเสียดสีชนชั้น แต่เราว่าเล่าเรื่องสนุกเลยแหละ ถ้าเคยดู Parasite มา อาจจะชอบ Parasite มากกว่านิดหน่อย ตรงที่ Parasite ยังเห็นความห่วงใยในครอบครัวบ้าง เรื่องบางจุดก็ระทึกแบบเดาทางไม่ถูก บ้านคนรวยก็เป็นบ้านสไตล์มินิมอลในฝันของหลายคนมาก แต่เรื่อง The White Tiger ยังมีบางจุดที่เดาถูก และรู้สึกอาจไม่สมเหตุสมผลในหลายจุดเหมือนกัน

ส่วนในเรื่องความแสบสันของการเสียดสีเรื่องชนชั้น อันนี้เราว่า The White Tiger เห็นโคตรชัดเจนและสื่อสารได้แสบทรวงกว่า Parasite นะ คงเพราะระบบวรรณะของอินเดียที่ทำให้เล่าทุกอย่างออกมาแบบเห็นภาพมาก ๆ ยิ่งเห็นการกระทำที่ทำกับคนวรรณะต่ำกว่าแบบไม่เห็นความเป็นคนของเขานี่มันจี๊ดดดดดหัวใจ และมีหลายจุดที่โคตรสงสารพลรามเลย

เช่น เขาไม่เคยรู้ว่าห้ามเกาขาหนีบต่อหน้าคนอื่น ไม่เคยแปรงฟันจนคราบหมากติดฟันสะสมไปหมด โดนดูถูกตอนที่บอกว่าไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต ฯลฯ คือด้วยสังคมที่เขาอยู่ มันไม่มีใครสอนเขาจริง ๆ อะแก หรือถ้าอยากรู้ว่าอินเตอร์เน็ตคืออะไรก็ต้องขวนขวายมาก ๆ ในขณะที่คนรวยดูสวยงามไปหมด ดูแล้วมันก็เจ็บลึก ๆ อยู่นะ

แม้จุดจบของเรื่องจะดาร์คไปสักหน่อย แต่ตลอดเรื่องที่ดู ก็เห็นข้อดีของพลรามอยู่นะ คือนางเป็นคนไม่ปิดหูปิดตา ไม่ดันทุรัง และช่างสังเกต คือนางใช้วิธีครูพักลักจำ ชอบฟังชอบเรียนรู้ สังเกตวิธีหาผลประโยชน์ของคน แล้วพอมีเงินปั๊บนางหาช่องทางต่อยอดได้เลย เปลี่ยนชีวิตจากจนเป็นรวยเลย หรืออย่างตอนที่โดขำว่าไม่รู้จักอินเตอร์เน็ต นางก็ไปถามจากเน็ตคาเฟ่ดูวิธีใช้งานเลย เนี่ยคนเราพอไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว มันก็เรียนรู้ต่อยอดได้ไม่สิ้นสุดเหมือนกัน

เอาเป็นว่า 8/10 ที่ให้มาคือไปดูเถอะทุกคน ปกติเราจะคุ้นหนังอินเดียที่ดราม่าเล่นใหญ่ แต่เรื่องนี้คือเป็นอินเดียแบบอินเตอร์มาก ๆ กล้าหยิบประเด็นสังคมมาเล่าและวิจารณ์ได้แบบแหก-อกกันเลย ได้ทั้งความบันเทิงและอาจแสบทรวงกับหลายประโยค ยิ่งประโยคที่พระเอกพูดตอนจะจบเรื่องนะ อิฉันหน้าหงายไปเลยจ้าาา…
“ที่ประเทศคุณเป็นแบบนั้นเหมือนกันไหมล่ะ ?”.