หมดค่ายิงแอดไปหมื่นแล้วจ้า แต่ไม่ได้ซักออเดอร์เล้ยยยย !!! เชื่อว่าผู้ขายของออนไลน์หลายท่านต้องเคยประสบปัญหานี้มาก่อนแน่นอนค่ะ ทำไมคนโน้นยิงแล้วปังปั๊วะ ๆ ส่วนเรายิงจนงบหมด เงินหมด จนเหลือแต่ ‘รอยยิ้ม’ ยังขายไม่ออกซักที

เห็นที่ต้องพึ่ง ทฤษฎี Sale Funnel หรือแนวทางการทำการตลาดที่เราขอตั้งชื่อเองว่าเป็นการทำการตลาดแบบ “ดีดน้ำมันพราย” แล้วกันค่ะ หลัก Sale Funnel เขาบอกว่า กว่าจะปิดการขายได้เนี่ย มันไม่ใช่ตีหัวแล้วลากเข้าบ้านเลยนะคุณ กว่าจะไปถึงขั้นนั้นต้องผ่าน 4 ขั้นตอนตามลำดับ คือ
- รับรู้ = ทำให้ลูกค้าเห็นหน้าค่าตาสินค้าหรือแบรนด์ของเราก่อน ว่าเป็นแบบนี้นะ ขายสินค้านี้นะ น่ารักแบบนี้ไม่ได้มีบ๊อยบ่อยนะ
- พิจารณา = สร้างความเชื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า เราคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
- ตัดสินใจ = ว่าจะเลือกซื้อร้านไหน หรือตัดสินใจซื้อผ่านการถูกกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น
- โอนไว คอนเฟิร์มออเดอร์ค่ะน้อง !!!

ดังนั้น ขั้นตอนแรกของการ “รับรู้” หรือ Awareness นี่แหละค่ะ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นที่มาของคำว่า “ดีดน้ำมันพราย” อย่างแท้จริง
เพราะถ้าเราชอบใคร เราก็จะดีดน้ำมันพรายใส่ให้เขารักเรา หลงเราตั้งแต่แรกพบใช่ไหมคะ การทำการตลาดก็เช่นกัน เราจะต้องดึงดูดลูกค้าซึ่งเป็น “คนแปลกหน้า” ให้สนใจเราให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาไปขั้นตอนอื่น ไม่ใช่ตีหัวปุ๊บลากเข้าบ้านเลย เจอหน้าก็ Hard Sell ขายของใส่ลูกเดียว จาก ‘รุก’ จะกลายเป็นคุกคาม และจะทำให้เกิดอคติหรือความรู้สึกไม่ดีต่อเราได้ง่าย ๆ เลยค่ะ
จึงไม่แปลกที่ว่า ทำไมหลายแบรนด์ต้องทุ่มทุนจัดอีเวนต์กลางห้างดัง ลงทุนจ้างโปรดัคชั่นทำวีดีโอโฆษณาเจ๋ง ๆ แล้วปล่อยไวรัลออกมา เพราะการสร้างการรับรู้ (Awareness) ถือเป็นด่านแรกที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค สำหรับด้านการตลาดออนไลน์ การทำ Content แล้วปล่อยออกมาในช่องทางของ Social Media ต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่สร้างการ “ทำให้รู้จัก” ได้ดีพอสมควร แต่อย่าลืมว่า Content จะดี จะปัง ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามหรือความกินใจเพียงอย่างเดียว เราจะต้องวิเคราะห์ให้ได้ชัดเจนว่า “กลุ่มลูกค้า” ของเรา เขาอยากจะเสพอะไร ดูอะไร อ่านอะไร เทคนิคง่าย ๆ ก็คือ จำกัดความอย่างชัดเจนว่าลูกค้าของเราเป็นกลุ่มเป้าหมายแบบไหน ลักษณะอย่างไร แล้วนำ “ปัญหา” ที่เขามีมาขยี้เป็นคอนเทนต์ค่ะ

บางคนเข้าใจว่า การสร้างการรับรู้ผ่านการทำการตลาดออนไลน์ คือ การสร้างคอนเทนต์เจ๋ง ๆ แล้วปล่อยลงโซเชียลมีเดียเท่านั้น ได้โปรดคิดใหม่ค่ะ ระลึกไว้เสมอว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นลูกค้าของคุณ แต่ลูกค้าของคุณมีอยู่ทุกที่” ดังนั้น การตีตลาดแค่ในโซเชียลมีเดียอาจไม่พอค่ะ
มีหลายงานวิจัยทางการตลาดระบุไว้ว่า คนเราใช้ Google ในการเสิร์ชเพื่อค้นหา Keyword ต่าง ๆ ประมาณ 10 ครั้งต่อวัน นั่นแปลว่า ถ้าเราไม่แบ่งความสำคัญมาในส่วนของเว็บไซต์เพื่อรองรับ Search Engine เลย ก็มีโอกาสเสียเปรียบเช่นกันค่ะ นึกภาพง่าย ๆ ว่า
- ร้านน้ำเต้าหู้เจ๊ติ๋ม กระหน่ำทำคอนเทนต์และยิงแอดลงเฟซบุ๊ค
- ในขณะที่ร้านเต้าหู้ซ้อเรณู ก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพิ่มเติมคือใส่ใจเว็บไซต์ ทำบทความรองรับ SEO ให้ลูกค้าเสิร์ชเจอด้วย อัปคลิปลงยูทูปด้วย อัปเดตทุกอย่างสม่ำเสมอ ดักลูกค้าทุกช่องทาง ไปทางไหนก็เจอร้านซ้อเรณู คิดว่าร้านไหนจะมีโอกาสเรียกลูกค้าได้มากกว่ากันคะ ?
แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Social Media ทุกอย่างในการโปรโมตธุรกิจ แต่ก็ไม่ควรละเลยในเรื่องของ Search Engine เพราะอย่าลืมว่า ช่องทางโซเชียลมีเดียก็เหมือนเราเช่าบ้านเขาอยู่ค่ะ เขาจะปรับระบบเมื่อไหร่ก็ได้ เพิ่มค่าโฆษณาอย่างไรก็ได้ ระบบจะล่มเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น เราจึงควรมีเว็บไซต์หลังบ้านของเราเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเป็น “บ้านหลัก” ของธุรกิจไว้เสมอ
สุดท้ายนี้ “การตลาดแบบดีดน้ำมันพราย” สร้างการดึงดูดใจได้ก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ เราต้องปรับตัวและพร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าทำแคมเปญการตลาดนี้ปังแล้ว พอแล้ว ไม่นานก็จะมีแคมเปญอื่น ๆ ที่พัฒนาต่อเนื่องเข้ามาแทนที่ค่ะ
โบราณว่า 3 วันจากนารี…เป็นอื่น
แต่ในยุคปัจจุบัน ไม่ถึง 3 นาทีก็เป็นอื่นแล้วค่ะ
โดยเฉพาะ “การตลาดออนไลน์”.
– นุ่นนิ่น –
ขอขอบคุณ…ส่วนหนึ่งของข้อมูลจากงานสัมมนาของธนาคารกรุงเทพ ที่จัดขึ้นที่โรงแรมสีมาธานี จ.นครราชสีมานะคะ มีประโยชน์มาก ๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟังแล้วได้ความรู้มากเลยค่ะ
**** งานเขียนบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของนางสาวภัทราพร สงครามยศ ห้ามผู้ใดนำไปทำซ้ำ ดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบว่ามีการคัดลอกเพื่อนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์จะขอดำเนินการทางกฎหมายทันที ขอบคุณค่ะ ****